เด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง จะเป็นเด็กที่มีพฤติกรรมอ่อนกว่าวัย คิดและทำอะไรเพื่อตัวเองเท่านั้น ไม่ค่อยนึกถึงผู้อื่น มีการเรียกร้องความสนใจสูง คอยไม่เป็น อยากได้อะไรต้องให้ได้ทันที ยอมแพ้ไม่เป็นและบ่อยครั้ง ที่จะลงท้ายด้วยการอาละวาดเพื่อให้ได้ตามที่ต้องการ
ในทารกแรกเกิดจนถึงอายุ 2-3 เดือน
เป็นวัยที่เด็กยัง ไม่สามารถเรียนรู้ที่จะควบคุมความต้องการ เมื่อเด็กหิว เปียก ไม่สบาย หรือเกิดความเครียดและต้องการผ่อนคลาย เด็กจะร้องจนกว่าจะได้รับการตอบสนองต่อความต้องการของเด็กโดยไม่มีข้อแม้ การอุ้มปลอบ กล่อม เป็นสิ่งจำเป็นที่จะให้เด็กได้รับความอบอุ่น และเกิดความมั่นใจขึ้น อาการร้องลักษณะนี้จะค่อย ๆ ลดลง เมื่ออายุ 3-4 เดือน จะหายไปในที่สุด
วัยเริ่มสอนเดิน และวิ่งไปมาด้วยตัวเองได้
เป็นวัยที่เริ่มเห็นชัดเจนถึงการเอาแต่ใจตัวเอง เพราะอยากจะอยากรู้อยากเห็น อยากหัดอยากลอง กำลังเรียนรู้สิ่งแวดล้อมด้วยตัวเอง
ในขวบที่ 2
เด็กจะเริ่มสร้างพัฒนาการด้วยความเป็นตัวของตัวเอง เด็กวัยนี้จะกำลัง “ซน” และ “ดื้อ” เริ่มไม่เชื่อฟัง เด็กยังไม่สามารถระงับความอยากของตนได้ ยังไม่รู้ว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ และยังไม่สามารถสื่อสารความต้องการออกมาเป็นคำพูดอย่างที่ใจนึก ความหงุดหงิดคับข้องใจยิ่งมีได้สูง ยิ่งถ้าถูกห้ามถูกขัดใจอยู่เสมอ เด็กจะมีอารมณ์โกรธไม่พอใจได้บ่อย ๆ ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กจึงแสดงอารมณ์กับเด็กได้ง่าย และมีอารมณ์เสียต่อกันได้บ่อยๆ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ซึ่งถ้าผู้ใหญ่มีปฏิกิริยาตอบโต้ลงโทษรุนแรง เด็กก็จะต่อต้าน ถ้าเพิกเฉยไม่จำกัดพฤติกรรมเด็กก็จะเอาแต่ใจ เพราะไม่รู้จักการปฏิบัติที่เหมาะสมเมื่อเติบโตขึ้น
ช่วงอายุ 18 เดือน – 3 ปี
เป็นวัยที่กำลังดื้อไม่ทำตามผู้ใหญ่ เอาแต่ใจตัวเอง เพราะเขาเริ่มรู้ว่าตนเองแตกต่างจากผู้อื่น มีความสามารถจะตกลงใจทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การกิน การถ่าย ฯลฯ ได้เอง จึงเริ่มแสดงวิธีการของตนเอง และไม่ทำตามที่ผู้ใหญ่บอกเสมอไป
บทสรุป
เด็กเอาแต่ใจ อาจเป็นเด็กที่มีความบกพร่องบางอย่างทำให้เข้าใจอะไรยาก เช่น ปัญญาอ่อน เด็กที่มีปัญหาการพูด เด็กจะแสดงอารมณ์มากกว่าเด็กออทิสติกจะไม่สนใจบุคคล เลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตนสนใจ เด็กไฮเปอร์แอ็คทีฟ จะมีความสนใจสั้น ไม่อดทน ใจร้อน ตลอดจนเด็กที่มีพื้นฐานอารมณ์ที่เลี้ยงยากปรับตัวยาก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สาเหตุสำคัญของเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองนั้นมาจากการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่ ที่ตามใจมากเกินไป ทำให้เด็กเคยตัวจะเอาอะไรก็ต้องได้ทันที เด็กจึงไม่เรียนรู้ที่จะรอคอย หรือคำนึงถึงเหตุผล นำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การอาละวาด เพราะเรียนรู้ว่าการทำพฤติกรรมนั้นแล้วจะได้สิ่งที่ตนต้องการ การที่ผู้ใหญ่ปล่อยให้เด็กเล่นตามลำพัง หรือไม่ไวต่อการห้ามปราม เมื่อเห็นเด็กกระทำไม่เหมาะสม เด็กก็จะเคยชินต่อการตามใจตนเอง ไม่เรียนรู้ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆ นอกจากนี้ความรู้สึกสงสารเด็กจากปัญหาต่างๆ เช่น เจ็บป่วย ครอบครัวแตกแยกก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้ใหญ่เอาแต่ใจและตามใจมากเกินไป
การแก้ไข
ซึ่งจะเอาแต่ใจตนเองเป็นพื้นฐาน ยังไม่เรียนรู้ที่จะควบคุมความต้องการของตนเองได้ ผู้ใหญ่มีหน้าที่ต้องตอบสนองความต้องการนั้น เช่น เมื่อเด็กร้องเมื่อหิวนม ขณะชงนมผู้ใหญ่อาจส่งเสียงปลอบเด็กเพื่อฝึกให้เด็กรู้จักรอคอยแทนที่จะรีบให้นมทันที โดยวิธีนี้เด็กจะค่อย ๆ พัฒนาที่เรียนรู้การอดทนรอคอยด้วยการช่วยเหลือของผู้ใหญ่
จำกัดไว้เสมอ เพื่อฝึกเด็กหัดเผชิญกับข้อห้ามและข้อบังคับ ฝึกให้รู้จักควบคุมตนอง แต่ผู้ใหญ่ไม่ควรใช้คำพูดพร่ำเพรื่อเมื่อบอกว่า “หยิบไม่ได้” ต้องลุกไปหยิบของชิ้นนั้นออก หาชิ้นอื่นให้แทน เป็นต้น
ต้องเข้าใจว่าเด็กมีสิทธิ์แสดงอารมณ์ได้เมื่อเด็กร้องหรืออาละวาดเวลาที่ถูกขัดใจ ผู้ใหญ่ต้องหนักแน่น อดทน เอาจริงอย่างสม่ำเสมอ
เขาต้องรู้สึกว่าได้รับความร่วมมือจากผู้ใหญ่เช่นกัน ไม่ควรเอาชนะเด็กตรงๆ แต่ให้รู้สึกว่าการทำด้วยกันช่วยเหลือกัน มีน้ำใจแบ่งปันกัน เป็นเรื่องน่ายินดี เมื่อเด็กอายุย่างปลายขวบที่ 2 จะแสดงความเห็นใจผู้อื่นได้แล้ว เช่น แบ่งขนม โอ๋แม่ที่ไม่สบาย เป็นต้น
ผู้ใหญ่ควรปฏิบัติต่อเด็กด้วยหลักการที่มีเหตุผลเด็กจะค่อยๆเรียนรู้และเลียนแบบจากการปฏิบัติของพ่อแม่จนในที่สุดการเอาแต่ใจตัวเองจะน้อยลง ยอมฟังเหตุผลมากขึ้นการฝึกเด็กให้ค่อยๆช่วยเหลือผู้อื่น
มีการแสดงการยอมรับและชื่นชมการกระทำของเขาจะช่วยให้เด็กนึกถึงตัวเองน้อยลงและนึกถึงคนอื่นมากขึ้นซึ่งกว่าจะเห็นผลก็เมื่อถึงวัยประถมปลาย
ขอขอบคุณ ข้อมูลรูปและจากInternet
Credit : http://women.mthai.com , http://www.suanprung.go.th